top of page

 

 

 

 

 

 

      'ต้นกล้า'ที่งอกเงย ใน'โครงการเพาะพันธุ์ปัญญา'

 

 

          โครงการ "เพาะพันธุ์ปัญญา เพื่อปัญญาที่งอกงาม

ของครูและนักเรียน" สร้างพลังการเรียนรู้ให้กับเยาวชน

เกิดขึ้นจากการร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทย

จำกัด (มหาชน)กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย

(สกว.)โครงการได้เริ่มจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2556 มองเผินๆ

เหมือนโครงการที่มีวัตถุประสงค์เฟ้นหาสุดยอด

งานวิจัยระดับโรงเรียน แต่จริงๆ แล้วโครงการนี้หวังก่อ

ให้เกิด "การปฏิรูป" การเรียนรู้ในระดับโรงเรียนที่ถือว่า

เป็นรากฐานการศึกษาที่สำคัญ

 

          ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย รอง ผอ.สกว. กล่าวว่า จากเจตนารมณ์ที่มองเห็นว่า "วิจัย คือ เครื่องมือทางการศึกษา" ดังนั้นจุดเน้นของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาจึงมุ่งไปที่การเกิดการปฏิรูปการทำวิชาโครงงานระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เข้าใจการวิจัยที่ สกว.เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่สร้างปัญญาให้กับเยาวชนได้อย่างแท้จริง

 

          ในการประกวดโครงงานวิจัยของเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น-มัธยมศึกษาตอนปลาย ของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ซึ่งปรากฏว่ามีโครงงานที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 8 เรื่อง จากจำนวนโรงเรียนที่ส่งผลงาน 75 โรงเรียน หรือ 738 โครงงาน มีครูเข้าร่วม 761 คน นักเรียน 2,628 คน โดยมีมหาวิทยาลัย 8 แห่ง ได้แก่ ม.ศิลปากร ม.อุบลราชธานี มรภ.ศรีสะเกษ ม.พะเยา มรภ.ลำปาง ม.สงขลานครินทร์ และ มรภ.สุราษฎร์ธานี เป็นพี่เลี้ยงให้กับโรงเรียน คุณครู และนักเรียน

 

          ผลงานทั้ง 8 เรื่องได้แก่ ผลของสารสกัดสมุนไพรต่อความสามารถในการไล่เพลี้ยอ่อนในระดับห้องปฏิบัติการ ของโรงเรียนรัษราษฎร์อุปถัมภ์ อ.เมือง จ.ราชบุรี, 2.การศึกษาแนวทางการป้องกันการเกิดมอดในกระติบข้าว ของโรงเรียนคำเขื่อนแก้วชนูปถัมภ์ อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร 3.การศึกษาการกัก เก็บความชื้นของฟางข้าวในแปลงผักกาด ของโรงเรียนพิริยาลัย อ.เมือง จ.แพร่ 4.การศึกษาการเร่งการงอกของเมล็ดพันธุ์ข้าวโดยการบ่มด้วยใบสมอทะเล ของโรงเรียนพัทลุง อ.เมือง จ.พัทลุง 5.การศึกษาประสิทธิภาพของแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว ของโรงเรียนวัดดอนมะโนรา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม 6.การศึกษาคุณภาพของกระดาษจากเส้นใยเตยหนามที่เคลือบด้วยน้ำยางพารา ของโรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ 7.ผลของการจัดเรียงสับปะรดต่อต้นทุนและ ความเสี่ยงต่อการช้ำของผลในระหว่างการขนส่ง ของโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ อ.เมือง จ.เชียงราย 8.ผลของสารบอโดมิกเจอร์และนา โนซิงค์ออกไซด์ ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราสีชมพู ของโรงเรียนพระพรหมพิทยานุสรณ์ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช

 

          ก่อนการตัดสินทั้ง 8 โครงงานศึกษาของนักเรียนที่มีตั้งแต่ระดับชั้น ม.2 ไปจนถึงชั้น ม.5 ได้นำเสนอผลการศึกษาของตนเองบนเวทีใหญ่ ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ม.ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม ท่ามกลางผู้รับฟังนับร้อยคน

 

          ทั้ง 8 หัวข้อ และผลการศึกษาที่นักเรียนค้นพบ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ฟังได้ไม่น้อย คุณภาพของการศึกษาในบางโครงงานสะท้อนถึงความเอาจริงเอาจัง มีขั้นตอนการศึกษารอบด้าน ไม่ต่างจากโครงงานวิจัยในระดับปริญญาตรี อีกทั้งการนำเสนอของนักเรียนที่ไหลลื่น แสดงถึงความเข้าใจและการเตรียมพร้อมมาอย่างดี จนผู้วิจารณ์งานบางท่านให้ความเห็นว่าน้องๆ ได้เกิดความหลงใหลในชิ้นงานของตนเอง ซึ่งนับว่าเป็นมิติใหม่ในกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ฟังอย่างมาก

 

          ขณะที่ ในตัวเด็กๆ เองก็ยอมรับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวของพวกเขาเอง อย่างน้อยก็มีความกล้าพูด กล้าคิด กล้าถาม และกล้าฟันฝ่าอุปสรรค และที่สำคัญเกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง

 

          "บางทีมมีเด็กเก่งในทีม เด็กไม่เก่งจะเกรงใจเด็กเก่ง ไม่กล้าคัดง้าง แต่พอทำๆ ไปโครงการวิจัยเหมือนกระตุ้นให้เด็กๆ คิด และพบว่าคนเก่งผิดพลาดได้ ส่วนเด็กเก่งเขาก็จะฟังเด็กไม่เก่งมากขึ้นค่ะ" คุณครูทีมหนึ่งเล่า

 

          ในช่วงตอบคำถามของคณะกรรมการ ที่ทั้งครูผู้คุมงานวิจัยและนักเรียนจะต้องตอบ คุณครูหลายทีมโดยเฉพาะระดับ ม.ต้น ระบุว่านักเรียนที่มาทำโครงงานและผ่านเข้ารอบครั้งนี้ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง เป็นเด็กปานกลางจนถึงระดับท้ายๆ ของห้อง แต่กระบวนการวิจัยและการทำงานได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในตัวเด็ก กล้าคิด กล้าแสดงออก ซึ่งถือว่าเป็นผลสำเร็จการเรียนรู้ที่คุณครูต้องการ

 

          อย่างไรก็ตาม ผลการตัดสินที่มีขึ้นในช่วงบ่ายวันนั้นสร้างความแปลกใจไม่น้อย เพราะคณะกรรมการมีฉันทามติเลือกโครงงานศึกษาเรื่อง "การศึกษาประสิทธิภาพของแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว ของโรงเรียนวัดดอนมะโนรา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม" ได้รับรางวัลชนะเลิศ พร้อมกับอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานยังได้รางวัลพิเศษ เป็นอาจารย์ดีเด่นในโครงการนี้ด้วย

 

          เมื่อเทียบกับโครงงานอื่นๆ โครงงานศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวัดดอนมะโนรา ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสขนาดเล็ก ถือว่ายังมีความโดดเด่นน้อยกว่าโครงงานอื่นๆ แต่ด้วยเหตุผลที่คณะกรรมการตัดสินระบุว่า การตัดสินครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะแต่ละโครงงานมีจุดเด่นในตัวเอง แต่คณะกรรมการอยากอธิบายในความเชื่อใหม่ว่า "รางวัลไม่ใช่เป้าหมาย ความเป็นเลิศเป็นแค่องค์ประกอบกระบวนการเรียนรู้เท่านั้น" และมีโรงเรียนหนึ่งอันหมายถึงโรงเรียนวัดดอนมะโนราได้แสดงถึงกระบวนการเรียนรู้ของครูและนักเรียน ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเพาะพันธุ์ทางปัญญา ซึ่งแสดงถึงจิตวิญญาณครู การฟันฝ่าความยากลำบากจนโครงงานวิจัยสำเร็จ แม้โครงงานวิจัยของนักเรียนแห่งนี้จะไม่เลิศเลอเท่าโครงการอื่น อีกทั้งความเป็นโรงเรียนขยายโอกาสที่ทั้งขาดแคลนและด้อยโอกาส ก่อให้เกิดความเสียเปรียบในด้านต่างๆ แต่ยังสามารถเข้าสู่โครงการที่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้าย 8 ทีมได้ จึงสมควรที่จะตัดสินให้เป็นโครงงานชนะเลิศ

 

          "โรงเรียนขยายโอกาสแห่งนี้เหมือนโดนทอดทิ้ง เพราะครูที่เคยคุมงานวิจัยได้ขอย้ายออกไปอยู่โรงเรียนที่ใหญ่กว่า ทำให้โครงงานวิจัยเหมือนโดนทิ้งกลางคัน แต่ด้วยความรับผิดชอบและจิตวิญญาณของครูท่านนี้ ทำให้ท่านการกลับมาสานต่อโครงงานวิจัย โดยอาศัยเวลาว่างวันเสาร์-อาทิตย์ให้กับโครงงาน เรียกว่าฟันฝ่าจนโครงงานสำเร็จเป็นรูปร่างเข้าสู่ 8 ทีมสุดท้ายได้ ดังนั้นเราจึงเห็นว่าโครงงานวิจัยทีมของโรงเรียนวัดดอนมะโนรา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งครูและนักเรียนที่มีต่อกระบวนการศึกษา และก่อเกิดกระบวนการเรียนรู้การวิจัยทั้งครูและนักเรียน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เราเห็นว่ามีความสำคัญมากกว่าความเป็นเลิศของผลงาน" คณะกรรมการระบุ

 

          กฤษฎา ล่ำซำ รองประธานกรรมการและประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า หลังจากฟังการนำเสนอผลงานวิจัยทั้ง 8 ทีมแล้ว คิดว่าถ้าตนเองเป็นนักเรียนอายุเท่ากับน้องๆ ที่มาอธิบายบนเวทียังอาจทำได้ไม่ดีขนาดนี้ จึงขอให้น้องๆ มีความภูมิใจในตัวเอง

 

          "ผมนั่งฟังทั้ง 8 ทีม ผมภูมิใจมากๆ กับน้องๆ และเห็นความหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองทำ และเห็นความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ทำให้ผมคิดว่าเรามาถึงจุดที่ทำให้ระบบการศึกษาไทยสะเทือนแล้ว และถ้าเราทำแบบนี้ โดยโครงการเพาะพันธุ์ทางปัญญา ทำกันหลายปี คิดว่าน่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทยได้" กฤษฎากล่าว

 

          ในบทสรุปการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากโครงการเพาะพันธุ์ทางปัญญา ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย รอง ผอ.สกว.กล่าวว่า ผลสำเร็จของโครงการและเป็นที่น่ายินดี น่าจะอยู่ที่เราได้เห็นบรรยากาศปลุกเร้าความเป็นนักวิจัยของนักเรียนมัธยมและคุณครู เป็นนิมิตหมายที่ดี แสดงถึงพลังการเรียนรู้ที่ได้จากการทำโครงงานวิจัย

 

          "เราได้พลิกคุณครูให้กลายเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ของนักเรียน และเปลี่ยนนักเรียนมาเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปกับนักเรียนก็คือ ทักษะชีวิต ทักษะการทำงาน ทักษะการเรียนรู้ และทักษะการสื่อสาร ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของพลเมืองในศตวรรษหน้า และแม้ว่าโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาจะทำมาแค่ 1 ปี เรายังเห็นขนาดนี้ และเชื่อว่าถ้าทำต่ออีก 4 ปี การขับเคลื่อนเพื่อเกิดมิติใหม่การศึกษาจะมีพลังมากขึ้นแน่นอน และขอขอบคุณธนาคารกสิกรไทยที่เห็นความสำคัญและสนับสนุนโครงการนี้" ดร.สีลาภรณ์กล่าว.

  • Wix Facebook page
  • Wix Twitter page
  • Wix Google+ page

© 2015 โรงเรียนตระกูลประทืองวิทยาคม VS เพาะพันธุ์ปัญญาศุนย์พี่เลี้ยง ม.อุบลฯ

bottom of page